
คนที่ทำธุรกิจออนไลน์ก็จะมีหน้าร้านอยู่บนบนอินเตอร์เน็ตซึ่งปัจจุบันนี้มีทั้งโซเชียลมีเดียในแพลตฟอร์มต่างๆ SEO ก็คือหนึ่งในนั้น
เชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นหลักก็อาจจะยังไม่ได้คุ้นชินกับ SEO มากนักว่า SEO คือะไร ต้องทำยังไง และมีความจำเป็นหรือไม่ ?โพสต์นี้จะมาอธิบายให้เข้าใจครับ (แถมให้! ตอนท้ายของโพสต์จะแอบเล่าเรื่องเทรนด์ SEO ในปี 2024 ด้วย อ่านให้จบนะครับ)
SEO คืออะไร ?
SEO ย่อมาจาก “Search Engine Optimization” แปลเป็นไทยว่า “การปรับแต่ง(เนื้อหา)ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา” โดยเครื่องมือค้นหาที่ว่าก็คือการที่เรา search สิ่งต่างๆ ลงไปใน Google นี่แหละครับ(จริงๆ แล้ว SEO มีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดยโพสต์นี้จะพูดถึงเฉพาะ Google) แน่นอนว่าสิ่งที่เราต้องการค้นหาในแพลตฟอร์ม Google ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการอะไร เนื้อหาที่แสดงขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเหล่านี้ไว้โดยที่มีการจัดอันดับจากคุณภาพของเนื้อหาหรือคุณภาพของเว็บไซต์ การที่เรา search Google แล้วเจอนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ แล้วเราเลือกที่จะคลิกเข้าไป นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือผลจากการทำ SEO
SEO สำคัญอย่างไร ?
การทำ SEO ที่ดีเหมือนเรามี หน้าร้านที่ดีและอยู่ในทำเลที่ถูกต้อง ซึ่งหน้าร้านก็คือเว็บไซต์ของเราครับ คิดดูครับว่าการทำเว็บไซต์มีต้นทุนมากมายทั้งการจดโดเมนการเช่า host รวมถึงใช้แรงและค่าความรู้ในการให้ข้อมูลลูกค้าเพื่อหวังให้มีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ของเราเยอะๆ แม้ว่าเราจะตั้งไจทำเว็บไซต์แต่สุดท้ายเว็บไซต์ของเราไม่มีคนเข้ามาดูและไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับแรกๆ ของการ search Google แบบนี้คิดว่าน่าเสียดายไหมครับ ? การทำ SEO จึงเป็นตัวช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราเปิดการมองเห็นได้ง่ายขึ้น หากว่าเข้าใจหลักในการทำ SEO แล้ว Google เองก็พร้อมผลักดันให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอันดับต้นๆ ได้ง่ายขึ้นแน่นอนครับ
องค์ประกอบของ SEO ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?
On-Page SEO
คือการทำ SEO “ภายใน” เว็บไซต์ของเรา เปรียบเหมือนการมีสินค้าที่ดีและมีการดูแลเว็บไซต์ให้น่าใช้งาน สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ที่เข้ามา
ดังนั้น โจทย์การทำ On-Page SEO คือ ทำยังไงให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ประทับใจมากที่สุด วัดจากระยะเวลาที่อยู่ในเว็บยิ่งนาน ยิ่งดี อัตราการตีกลับ(Bounce Rate)ที่ต่ำ ซึ่งการที่ผู้ใช้จะอยู่ในเว็บไซต์ของเราได้นาน คือ คุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์ของเรา หากว่าผู้ใช้ชอบและรู้สึกได้ประโยชน์ ก็ไม่ปิดหนีแน่นอน อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Technical SEO สิ่งนี้จะส่งผลถึงอารมณ์ของผู้ใช้ที่มีต่อเว็บไซต์ของเรา เช่น ความเร็วในการโหลดข้อมูล ความชัดของรูปภาพ การจัดองค์ประกอบของบทความ ความง่ายในการท่องเว็บ และที่สำคัญในยุคนี้คือต้อง mobile friendly เพราะปัจจุบันคนเข้าเว็บจากอุปกรณ์มือถือเป็นหลัก เพราะแม้ว่าเนื้อหาในเว็บไซต์จะดีขนาดไหนแต่ประสบการณ์ใช้งานไม่ดี เหมือนร้านอาหารที่ทำอาหารอร่อย แต่บริการแย่ แอร์ร้อน ช้อนส้อมไม่สะอาด พนักงานขาดความมือาชีพแบบนี้ผู้คนก็ไม่ประทับใจ ดังนั้น คุณภาพและประสบการณ์การใช้งานต้องดีไปพร้อมกัน
Off-Page SEO
งาน Off-Page SEO คือการจัดการ “ภายนอก” เว็บไซต์ที่ส่งผลต่อเว็บไซต์เป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ออกสู่ภายนอกให้มีคนเห็นมากขึ้นหรือมีการเรียกใช้เนื้อหาจากเว็บไซต์ของเราไปอ้างอิง แปลว่า เนื้อหาของเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือ พอที่แหล่งอื่นจะนำไปอ้างอิงซึ่งก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นครับ หากเปรียบเทียบดูว่ามีสองเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเนื้อหาและการทำ On-page SEO ที่มีคุณภาพพอๆกันแต่เว็บไซต์หนึ่งไม่ขยันทำ Off-page SEO กับอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่ขยันทำ SEO คะแนนโดยรวมและการจัดอันดับฝั่งที่ทำ On-page SEO ด้วยจะมีแนวโน้มที่อยู่สูงกว่าดังนั้นการทำ SEO ที่ดีจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจทั้งการทำ On-page และ Off-page เพื่อให้มีความสมดุลย์กัน
GOOGLE ใช้อะไรตรวจสอบ SEO ?
เมื่อทำ SEO ดีแล้วทั้งเชิง content และ technical ถึงตอนนี้ก็จะสงสัยว่าแล้วใครคือคนที่เข้ามาตรวจสอบความถูกต้องและจัดอันดับให้กับเว็บไซต์ของเรา ? คำตอบก็คือ Google ส่ง Crawler เข้ามาในเว็บไซต์เราครับ
Crawler เป็นหุ่นยนต์ของกูเกิลมีเชื่อว่า Googlebot ซึ่งทำหน้าที่เป็น webcrawler หรือผู้ตรวจสอบ คอยเก็บข้อมูลส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ตั้งแต่ Web pages, รูป หรือไฟล์หลังบ้าน เหมือนเป็นกรรมการในการตัดสินว่าเว็บไซต์มีคุณภาพอยู่ในอันดับที่เท่าไร โดยการเก็บข้อมูลของ googlebot เรียกว่าการ crawling จะเริ่มเข้ามาสำรวจเนื้อหาในเว็บไซต์อย่างละเอียด ซึ่งจริงๆ แล้วเราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ googlebot เก็บข้อมูลที่ส่วนไหนและไม่ให้เก็บข้อมูลที่ส่วนไหนโดยใช้คำสั่ง robot.txt เผื่อว่าข้อมูลบางอย่างเป็นข้อมูลสำคัญและต้องเก็บเป็นความลับ จากนั้นจะนำข้อมูลที่เก็บได้ไปทำการ index เฉพาะเนื้อหาที่โดดเด่น ส่วนเนื้อหาที่ไม่น่าสนใจก็จะถูกคัดออก และขั้นตอนสุดท้ายคือการนำส่งเนื้อหาคุณภาพขึ้นอันดับตามความเหมาะสม
SEO ทำยังไง ?
เมื่อเรารู้องค์ประกอบและตัวชี้วัดต่างๆ ในการทำ SEO แล้ว มาดูกันว่ากระบวนการในการทำ SEO เป็นยังไง
On-Page SEO
จะจัดการหลักๆ อยู่ 2 ส่วนคือ
• Content
หรือบทความ สิ่งที่สำคัญมากๆ ในการเขียนบทความ SEO คือ Keyword หรือคำหลักที่ต้องมีอยู่ในเนื้อหา เพื่อให้ googlebot หาเจอและพาเว็บไซต์ติดอันดับได้ดี การเขียน content SEO ที่ดีจำเป็นต้องมีการกระจาย keyword อยู่ในเนื้อหาอยู่เป็นระยะ แต่ต้องไม่ให้มันดูจงใจเกินไปจนอาจกลายเป็น spam ได้ googlebot เค้าดูออกนะครับ สิ่งนี้จึงจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ในการฝึกเขียนจนชำนาญ ชนิดของ keyword ก็มีอยู่หลายแบบทั้ง short tail keyword หรือคำหลักสั้นๆ เช่น “ไอโฟน 15” และ long tail keyword คือ คำยาวหรือเป็นกลุ่มคำ เช่น “ไอโฟน 15 สีขาว ประกันศูนย์” แต่ละรูปแบบก็มีประโยชน์และบริบทในการใช้ที่แตกต่างกันจะรู้ว่าควรใช้ keyword ไหนดีก็ต่อเมื่อมีหัวข้อแล้วให้เราเริ่มการวางแผน keyword ก่อน
ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายในการหาไอเดีย keyword ที่มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน แต่เครื่องมือช่วยหา
• Technical
การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้ง่ายและหาข้อมูลได้สะดวก ทั้งคนและ googlebot สำหรับมือใหม่และผู้ที่มีพื้นฐานแบบคร่าวๆ อยากให้เข้าใจภาพคร่าวๆ ก่อนว่ามันเป็นการเก็บรายละเอียดที่เหมือนจะไม่สำคัญ แต่สำคัญเช่น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ การจัดวางเนื้อหาที่ง่ายต่อการค้นหาข้อมูล มีการเรียบเรียงเป็นระบบ รูปชัด จัดเรียงดี ลำดับเนื้อหาก่อนหลังให้ดี ไม่มีลิงค์เสีย ไม่มี Duplicate content หรือ URL ของเว็บไซต์ที่ควรใช้แบบอ่านง่ายไม่ควรเป็นภาษาต่างดาว ส่วนการทำให้ googlebot เก็บข้อมูลได้ง่าย คือเราต้องออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้ง่ายไม่ซับซ้อนและถ้าจะให้ดี ควรสร้างลิงค์เนื้อหาที่เชื่อมโยงกันด้วยเพื่อให้ googlebot จะเข้าไป craw ข้อมูลต่อเนื่อง และทำการ index เพื่อส่งไปให้จัดอันดับต่อไป หากต้องการดูข้อมูลเชิงเทคนิคของการทำ SEO แนะนำให้ใช้เครื่องมือ Google Webmaster ที่เป็นตัวช่วยในการเช็คสุขภาพของเว็บไซต์และคอยให้ข้อมูลถึงแนวทางในการปรับแต่งที่ถูกต้อง
Off-Page SEO
ก็จะมี 2 ส่วนหลักๆ เช่นกัน คือ
• Backlink
แปลตรงตัวเลยก็คือการมีลิงค์เชื่อมโยงกลับมาสู่เว็บไซต์ของเราจากแหล่งอื่น อาจได้มาจากการแชร์บทความของเราด้วยตัวเองลงไปในโซเชียลมีเดีย หรือมีคนที่ชอบเนือหาของเราแล้วไปแชร์ต่อ การที่จะมี backlink กลับมาได้บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือและคุณภาพของเนื้อหา ยิ่งมี backlink กลับมาเยอะ google จะยิ่งให้คะแนน SEO เยอะตามไปด้วย โดยคุณภาพของเว็บไซต์ที่ลิงค์มา ยิ่งเป็นเว็บไซต์มีคุณภาพสูง มีอายุมาก มีอันดับสูง ก็จะได้คะแนนมากขึ้น และการที่มี backlink กลับมาต้องมีความสัมพันธ์ของเนื้อหาด้วย สมมติบทความที่เกี่ยวกับ “ยางรถนนต์” ก็ไม่ควรที่จะไปโผล่ในเว็บไซต์ของอาหารเสริม ปัจจัยเหล่านี้จะนำถูกนำมาประเมินถึงคุณภาพของ backlink ที่เราได้ทำขึ้นมา
• Outreach
คือการส่งข้อความติดต่อไปยังเว็บไซต์อื่นเพื่อขอให้นำลิค์เนื้อหาของเราไปเผยแพร่ต่อ เป็นอีกช่องทางเพื่อให้ได้มาซึ่ง backlink ที่ได้คุณภาพที่สูงมาก ยิ่งได้เว็บใหญ่ๆ ความน่าเชื่อถือยิ่งมากตาม แต่การทำ Outreach ต้องใช้ความพยายามค่อนข้างสูงในการติดต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ แน่นอนว่าไม่ได้ตอบรับตกลงทุกเว็บฯ แต่นั่นแหละครับ ถ้าได้ไม่กี่เว็บก็ช่วยดันคะแนนขึ้นได้เยอะมากแล้ว
เทคนิคในการใช้เครื่องมือค้นหา keyword
ควรพิจารณาจากสถิติของแต่ละ keyword ว่าในแต่ละเดือนมี search volume มากน้อยแค่ไหนอัตราการคลิกคิดเป็นครั้งละกี่บาท สิ่งเหล่านี้เราต้องประเมินให้ดีเพื่อจะได้แข่งให้ถูกสนาม เพราะหากว่าเราเป็นมือใหม่แล้วเลือกที่จะไปแข่งกับ keyword ที่มีการแข่งขันสูงโอกาสที่เราจะติดอันดับหน้าแรกนั้นก็ยากเพราะมีเจ้าตลาดที่ทำมานานกว่าประสบการณ์มากกว่าอยู่อันดับบนๆ
ดังนั้นเราควรเลือก keyword ที่มีการแข่งขันน้อยและเรายังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า จนเว็บไซต์ของเรามีอันดับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราค่อยย้อนกลับมาแข่งกับ keyword ที่มีการแข่งขันสูงก็ยังทัน การเลือกใช้ keyword ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การทำ SEO ของเราประสบความสำเร็จเพราะหากว่าเราเลือก keyword ที่ตรงกับจุดประสงค์ของเว็บไซต์ Googlebot ก็จะตรวจเรียนรู้ได้ว่าเนื้อหาที่เราทำขึ้นมาต้องการจะสื่ออะไร เราจึงควรให้เวลากับการหาคีย์ Wordให้มีความแน่ใจที่สุดก่อนที่จะลงมือเขียนบทความ
SEO ยังสำคัญอยู่ไหม ?
โลกออนไลน์มันเปลี่ยนเร็ว คนทำธุรกิจออนไลน์ไม่ใช่แค่ในกลุ่มของ SEO ก็จะได้ยินกันทุกปีว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีของใหม่มา เดี๋ยวเดือนหน้ามันจะปิดกั้นการมองเห็นมากขึ้น เดี๋ยวปีหน้าก็มีอัพอัลกอริธึมอีก แล้วการทำ SEO จะเปลี่ยนไปอย่างไร ?
คำตอบคือ ตอบไม่ได้ครับ เพราะเราอยู่ในเกมของเจ้าของแพลตฟอร์มทั้งนั้น เราเปลี่ยนไม่ทันเค้าแน่ๆ สิ่งสำคัญของคนทำ SEO คือ ต้องมีทักษะในการปรับตัวให้ทันกับโลกอยู่ตลอดเวลา หากว่าปรับตัวได้เร็วก็ได้เปรียบแน่นอน และประเด็นสำคัญคือ ไม่ว่า Google จะอัพเดต อัลกอริธึมมากี่ครั้งตั้งแต่ Panda ในปี 2011 จนมาปี 2024 จะมี SGE เข้ามาอีก
จะมีอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนก็คือ ผู้คนยังคงต้องการ content ที่มีคุณภาพดีที่แก้ปัญหาเขาได้ เหมือนเดิม ดังนั้น ต่อให้แพลตฟอร์มจะเปลี่ยนไปอีกกี่อัลกอริธึม สุดท้ายแล้ว หากว่าเรามีความเข้าใจเรื่องนี้ แนวทางในการพัฒนาเนื้อหา ปรับปรุงเว็บไซต์ สร้างประสบการณ์และคุณค่าที่ดีให้กับผู้ใช้ต่อไป เราจะปรับตัวได้แบบไม่เหนื่อย และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ ความสำคัญของการทำ SEO ครับ